ปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิล

50 ปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ที่ใช้บ่อย ในชีวิตประจำวัน

ปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิล รวม 50 ปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ที่ใช้บ่อย มาทำการเรียนรู้กัน จะมีคำไหนที่เรารู้จักไหมนะ ไปดูกันเลย

รวม 50 ปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

  1. การคิดเพียงนาทีเดียว มีค่ามากกว่าการพูดยาวถึงหนึ่งชั่วโมง.
    แปลว่า ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ โปรดรักษาประตูริมฝีปากของข้าพระองค์
  2. การพูดเป็นคำสุดท้าย ควรเป็นการกล่าวขออภัย
    แปลว่า ลูกรัก หากลูกตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่พูด หรือถูกคำพูดของลูกเป็นกับดัก ก็จงทำดังนี้สิ จงปลดปล่อยตัวของลูกเสีย เมื่อลูกตกเป็นเหยื่อในเงื้อมมือของเพื่อนบ้านแล้ว จงถ่อมตนแล้ววิงวอนเพื่อนบ้านของลูก
  3. การมีอำนาจ ทำให้บางคนเติบโต แต่ทำให้บางคนเพียง บวมเท่านั้น.
    แปลว่า แต่ผู้ยิ่งใหญ่ในพวกท่าน ต้องเป็นผู้รับใช้ ผู้ใดยกย่องตัวเองจะถูกดึงให้ต่ำลง และผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่อง
  4. การให้อภัยคล้ายกับเป็นการปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระ แล้วมาพบว่า นักโทษนั้นก็คือ ตัวคุณเอง
    แปลว่า หากท่านให้อภัยผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน พระบิดาเจ้าก็จะทรงให้อภัยท่านด้วย แต่หากท่านไม่ให้อภัยผู้อื่น พระบิดาของท่านก็จะไม่ทรงให้อภัยแก่ท่านเช่นกัน
  5. ก้าวแรกที่นำไปสู่ความฉลาดก็คือ ความเงียบ ก้าวที่สอง คือ การรับฟัง
    แปลว่า ทั้งปราชญ์จะได้ยิน และเพิ่มพูนการเรียนรู้ ส่วนคนที่มีความเข้าใจ จะได้มีความช่ำชอง
  6. ของขวัญอันล้ำค่า ที่เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ก็คือ ตัวอย่างที่ดี.
    แปลว่า เหตุว่าเราได้มอบแบบอย่างให้แก่ท่านแล้ว ทั้งนี้เพื่อ ให้ท่านทำดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน
  7. คนโง่คิดว่าเขารู้ทุกอย่าง หากท่านไปถกเถียงกับเขา ท่านก็ยิ่งโง่ไปกว่าเขาเสียอีก
    แปลว่า หากท่านตักเตือนคนที่โอ้อวด ท่านก็จะได้รับแต่เพียงการดูหมิ่น และความเจ็บปวด
  8. ความร่ำรวยของคนเรา มิได้อยู่ที่ว่าเรามี ทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นคนอย่างไร.
    แปลว่า บางคนไม่มีอะไรเลย แต่แสร้งทำเป็นคนร่ำรวย แต่บางคนมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็แสร้งทำเป็นคนจน
  9. ความลับที่มนุษย์รักษาได้ยากที่สุด คือความเห็นเกี่ยวกับตัวเอง.
    แปลว่า ข้าพเจ้าสำนึกอยู่เสมอว่า พระเป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้ามากเพียงใด ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอบอกพวกท่านว่า อย่าคิดว่าตัวท่านดีกว่าที่เป็นอยู่จริงๆ จงใช้วิจารณญาณ แล้วจงวัดสภาพของตัวท่านเอง โดยสำนึกว่า พระเป็นเจ้าทรงประทานความเชื่อ ให้แก่ท่านมากมายเพียงใด
  10. ความล้มเหลวมักจะไม่เกิดขึ้น เพราะเขาขาดพรสวรรค์ แต่เพราะเราขาดความเด็ดเดี่ยว.
    แปลว่า อย่าเพิ่งเอือมระอาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ท่านจะได้รับรางวัลเอง เมื่อถึงเวลา
  11. ความอดทนคือ คุณสมบัติที่ท่านชมเชยผู้ขับ รถข้างหลังท่าน แต่เป็นที่น่ารำคาญสำหรับ ผู้ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า.
    แปลว่า เรื่องจบ ดีกว่าเริ่มเรื่อง ความอดทนดีกว่าความหยิ่งยโส อย่าเป็นคนโกรธง่าย เหตุว่าความโกรธมักจะอยู่ในใจของคนโง่
  12. ความอิ่มเอิบใจมิได้หมายความว่า เราได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ หากแต่เป็นความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่.
    แปลว่า ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน ไม่ว่าข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจในสภาพของตน
  13. ความเกียจคร้านและความยากจน เป็นญาติกัน
    แปลว่า หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักสักนิด แล้วความจนก็จะมาหาถึงเจ้า แล้วทุกอย่างก็จะสูญหายไป
  14. ความเชื่อคือการท้าทายให้จิตวิญญาณ มองไปยังที่ซึ่งตามองไม่เห็น.
    แปลว่า แต่เราดำเนินชีวิตอาศัยความเชื่อ มิได้อาศัยสิ่งที่เรามองเห็น
  15. ความเชื่อเที่ยงแท้ และความกล้าหาญ เปรียบเสมือนว่าว ยิ่งมีลมต้าน มักยิ่งร่อนสูงขึ้น.
    แปลว่า ส่วนผู้ที่รอคอยพระเจ้า จะฟื้นฟูพลังของตนเอง เขาจะมีปีกโผบินดังเช่นนกอินทรีย์ เขาจะวิ่งแต่ก็ไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินแต่ก็ไม่เป็นลม
  16. ความโมโหมักทำให้เราตกอยู่ในความลำบาก แต่ความหยิ่งต่างหาก ที่ทำให้เราอยู่ในสภาพนั้น
    แปลว่า ความเย่อหยิ่งมาก่อนการถูกทำลาย จิตใจที่ยโสมักจะมาก่อนการหกล้ม การมีจิตถ่อมตนกับคนยาก ดีกว่า ที่จะได้ส่วนแบ่งจากของที่ริบมาจากคนหยิ่ง
  17. คำพูดคือหน้าต่าง ที่เปิดให้เห็นหัวใจของท่าน.
    แปลว่า เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร เหตุว่าปากนั้นพูดจากสิ่งที่มาจากใจ
  18. จงลืมตัวท่าน เพื่อผู้อื่น แล้วเขาจะไม่ลืมท่าน.
    แปลว่า ดังนั้นสิ่งใดที่ท่านปรารถนา ให้ผู้อื่นกระทำแก่ท่าน ท่านก็จงกระทำสิ่งนั้นแก่เขา เพราะนี่กฎบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศก
  19. จงเป็นห่วงว่าพระเป็นเจ้าทรงคิดอย่างไรกับท่าน มากกว่าการเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร.
    แปลว่า เปโตรและสาวกอื่นๆ ตอบว่า เรานอบน้อมเชื่อฟังพระเป็นเจ้าดีกว่ามนุษย์
  20. จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น แทนที่จะทำผิดเสียเองในทุกเรื่อง.
    แปลว่า ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่ปราชญ์ย่อมฟังคำแนะนำ
  21. ชิวิตคงจะง่ายขึ้นมาก หากคนเรา แสดงความอดทนในครอบครัว ให้เท่ากับเวลาที่เขาไปนั่งตกปลา.
    แปลว่า ท่านที่เป็นสามี ก็จงอยู่กับภรรยาของท่าน ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน
  22. ทุกคนควรมีหลุมฝังศพตัวเอาไว้ เพื่อใช้ฝังความผิดของเพื่อนๆ และผู้ที่เขารัก.
    แปลว่า ท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้า ได้ทรงโปรดอภัยให้แก่ท่านในพระคริสต์
  23. บทเรียนจากการมองดูนาฬิกาก็คือ มันทำให้เวลาผ่านไปก็จริง แต่มันขยันทำงานตลอดเวลา.
    แปลว่า การเป็นคนเกียจคร้าน ก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ชอบทำลาย
  24. บุคคลที่ยากจนที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงิน หากแต่เป็นบุคคล ที่ไม่มีความฝัน.
    แปลว่า มนุษย์จะตกยาก หากไร้วิสัยทัศน์
  25. ปัญหาของผู้ที่พูดเร็วเกินไปก็คือ เขามักจะพูดสิ่งที่เขายังคิดไม่ถึง.
    แปลว่า อย่ารีบพูด อย่าให้ใจท่านด่วนกล่าวสิ่งใดต่อพระพักต์พระเป็นเจ้า เหตุว่าพระเป็นเจ้าประทับในสวรรค์และเจ้าอยู่ในโลก ฉะนั้นขอให้เจ้าจงพูดน้อย
  26. ผู้ที่นำแสงอาทิตย์ เข้ามาในชีวิตของผู้อื่น ย่อมไม่สามารถกั้นแสงนั้น จากชีวิตของตนเองได้.
    แปลว่า อย่าหลงผิด ไม่มีใครหลอกพระเป็นเจ้าได้ สิ่งใดที่มนุษย์หว่านไว้ เขาก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
  27. ผู้ที่มีสิทธิ์ในความรักน้อยที่สุด คือผู้ที่ต้องการความรักมากที่สุด.
    แปลว่า แต่เราสั่งให้ท่านรักศัตรู และอธิฐานภาวนา ให้ผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน
  28. ผู้ที่ไม่ให้อภัย คือผู้ที่ทำลายสะพานที่เขาเองจะต้องข้าม.
    แปลว่า หากท่านให้อภัยความผิด ที่ผู้อื่นกระทำต่อท่าน พระบิดาเจ้าของท่านในสวรรค์ ก็จะทรงให้อภัยแก่ท่านด้วย
  29. พระเจ้าเป็นผู้ทรงสามารถรักษาดวงใจที่สลายได้ แต่พระองค์จำเป็นต้องมีทุกชิ้นส่วนของดวงใจนั้น.
    แปลว่า ลูกรัก จงมอบดวงใจให้แก่เราเถิด
  30. พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงทราบถึง ความผิดตกบกพร่อง อันมากมายของท่าน แต่ก็ยังทรงรักท่านอยู่เช่นเดิม.
    แปลว่า พระเจ้าทรงสำแดงความรัก ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
  31. พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงย่างกายเข้ามา เมื่อโลกย้ายออกไป.
    แปลว่า เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติในจิตใจของท่านเนื่องจากเรา ระหว่างที่ท่านอยู่ในโลก ท่านจะต้องทรมาน แต่จงทำใจดีไว้เถิด
  32. มโนธรรม คือ เครื่องเตือนภัยซึ่งพระเป็น ทรงติดตั้งให้ไว้กับท่าน จงดีใจเมื่อมันทำให้ ท่านรู้สึกเจ็บ แต่จงระวังเมื่อท่านไม่รู้สึกเจ็บ.
    แปลว่า ในข้อนี้ ข้าพเจ้าพยายามประพฤติตามมโนธรรม โดยมิให้กระทำผิดต่อพระเป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์
  33. ลูกหลานของเราเปรียบเสมือนกระจกเงา เขาสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดในชีวิต ของเรานั่นเอง.
    แปลว่า คนดีเจริญชีวิตด้วยคุณธรรม และพระเป็นเจ้าทรงประธานพระพรแก่ลูกหลาน ที่เจริญชีวิตตามแบบฉบับของเขา
  34. ศิลปะของการเป็นแขกที่ดี คือการรู้ว่าเมื่อไรควรจะกล่าวคำอำลา
    แปลว่า อย่าไปเยี่ยมเพื่อนบ่อยเกินไป เพราะเขาจะรู้สึกเอือมระอา และเริ่มเกลียดชังท่าน
  35. สมบัติอันล้ำค่าของท่านก็คือ เวลา 24 ชั่วโมง ที่กำลังรอท่านอยู่.
    แปลว่า ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรม และคนอธรรม เพราะทุกเรื่องถูกกำหนดไว้ และการงานทุกอย่างก็ถูกกำหนดไว้ด้วย
  36. สะพานเชื่อมที่ดีเลิศระหว่างความหวัง กับ ความหมดหวัง ก็คือ การนอนหลับให้เต็มอิ่ม.
    แปลว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตื่นเช้า นอนดึก เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ พระเป็นเจ้าทรงดูแลผู้ที่พระองค์ทรงรัก แม้ในยามที่เขานอนหลับ
  37. หนทางที่ดีที่สุดที่จะลืมปัญหาของตนเอง ก็คือการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น.
    แปลว่า มนุษย์ อย่ามองเพียงปัญหาของตนเอง แต่ทุกคนควรมองดูปัญหาของผู้อื่น
  38. หนทางสู่ความสำเร็จ คือการนำเอาคำแนะนำ ที่ท่านมอบให้ผู้อื่น มาใช้กับตัวท่านเอง.
    แปลว่า ท่านที่ไม่สนใจกับกฎวินัย ย่อมดูหมิ่นตนเอง แต่บุคคลที่รับฟังคำตักเตือน ก็จะได้รับความเข้าใจ
  39. หัวใจมีความสุขมากที่สุด เมื่อมันเต้นเพื่อคนอื่น.
    แปลว่า ไม่มีผู้ใดมีความรักเท่ากับ ผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่น
  40. หากท่านอยากชนะใจเพื่อน จงใช้หูฟังแทนที่จะใช้ปากพูด.
    แปลว่า จงให้ทุกคนไวในการฟัง แต่ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ
  41. อย่าปล่อยให้โอกาสของท่านที่จะหุบปาก ผ่านไปได้เป็นอันขาด.
    แปลว่า แม้คนโง่ ก็ถือว่าเป็นคนฉลาด เมื่อเขารู้จักสงบปากสงบคำ ผู้ที่รู้จักปิดปากตัวเอง เขาก็ถือว่าเป็นผู้มีความเข้าใจที่ดี
  42. อารมณ์ร้ายของท่านเปรียบเสมือนไฟใหม้ หากควบคุมไม่ได้ ก็อาจเกิดความเสียหายมากมาย.
    แปลว่า ผู้ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เหมือนกับเมืองที่ไม่มีกำแพง
  43. อุปนิสัยของคนนั้นมิได้อยู่ที่ว่า บรรพบุรุษได้ทิ้ง มรดกอะไรไว้ให้เขาบ้าง แต่ขึ้นอยู่กับว่าตัวเขาเอง ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้ลูกหลานของเขา.
    แปลว่า คนดีจะทิ้งมรดกให้ลูกหลาน แต่ทรัพย์สมบัติของคนบาปนั้น สะสมไว้สำหรับผู้ชอบธรรม
  44. เพื่อนๆ ของท่านก็คล้ายกับปุ่มของลิฟต์ เขาจะพาท่านให้ขึ้นก็ได้ ลงก็ได้.
    แปลว่า ผู้ที่ผูกมิตรกับคนฉลาด ก็จะเป็นคนฉลาด หากท่านผูกมิตรกับคนโง่ ตัวท่านเองอาจถูกทำลาย
  45. เมื่อทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ก็จงอดใจ อย่าวุ่นวายไปกับมัน.
    แปลว่า อย่าไปเลียนแบบที่ไม่ดี ของคนชั่วช้าและเลวทราม
  46. เราจะรู้อุปนิสัยใจคอที่แท้จริงของคนได้ ก็โดยสังเกตุว่าเขาทำอะไร เมื่อไม่มีใครเห็น.
    แปลว่า จงทำให้นายพอใจเสมอ มิใช่เวลาที่ท่านคิดว่านายกำลังมองอยู่ ท่าน คือ ทาสของพระคริสตเจ้า ดังนั้นท่านจงกระทำสิ่งที่พระเป็นเจ้า ทรงปรารถนาจากท่าน ด้วยความเต็มใจ
  47. เราดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เรากลับเป็นผู้มอบชีวิต เมื่อเราเป็นผู้ให้
    แปลว่า ข้าพเจ้าได้ให้ตัวอย่างแก่ท่านแล้วในทุกสิ่ง ให้ท่านเห็นว่าการกระทำดังนี้ ท่านจะสามารถช่วยผู้ที่อ่อนแอ ท่านจงรำลึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า การให้ย่อมได้บุญมากกว่าการรับ
  48. แต่ละวันที่ผ่านไป คล้ายกับกระเป๋าที่มีขนาดเท่ากัน คนบางคนสามารถใส่ข้าวของเข้าไป ในกระเป๋านั้นมากกว่าผู้อื่น.
    แปลว่า ดังนั้นท่านจงระมัดระวัง ในการดำเนินชีวิต อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนผู้มีปัญญา จงฉวยทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา
  49. โชคดี คือข้อแก้ตัวที่ผู้แพ้มอบให้กับผู้ชนะ.
    แปลว่า วิญญาณของคนเกียจคร้านมีแต่ความอยาก แต่เขาจะไม่ได้อะไรเลย ฝ่ายวิญญาณของคนขยัน จะอ้วนพี
  50. ใครร่วมวงนินทากับท่าน ผู้นั้นก็จะนำเอาเรื่องของท่านไปนินทาต่อ.
    แปลว่า บุคคลที่เที่ยวซุบซิบมักเผยความลับ แต่บุคคลที่ไว้วางใจได้ ย่อมสามารถปิดบังทุกสิ่งไว้ได้

คิดว่าน่าจะเต็มอิ่มกับปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิลทั้ง 50 คำกันไปแล้วเนอะ หวังว่าน่าจะพอมีประโยชน์ให้นำไปใช้ต่อในชีวิตประจำวันกัน

หากยังไม่เจอคำไหน หรือคิดว่ามีตกหล่นไป สามารถแจ้งแนะนำกันเข้ามาได้เลย


รวมปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ที่นิยมใช้ ใช้งานบ่อย ในชีวิตประจำวัน

 ปรัชญาจากพระคัมภีร์ไบเบิลยอดนิยม